“ฝรั่งเศส” หวังลบอาถรรพ์ แชมป์โลกตกรอบแรก

ฝรั่งเศส หวังลบอาถรรพ์ ทีมแชมป์โลกที่ต้องโบกไม้โบกมือลาเวิลด์คัพตั้งแต่รอบแรก หลัง 3 ทีมแชมป์ก่อนหน้าที่ผ่านมาทำไม่สำเร็จ สื่อคาด “เดส์ชองส์” ส่ง เอ็มบัปเป้, ชิรูด์ แล้วก็ กรีซมันน์ ล่าตาข่าย

แชมป์โลก 3 ชาติก่อนหน้าที่ผ่านมา ไล่ตั้งแต่ อิตาลี (2006), สเปน (2010) แล้วก็ เยอรมนี (2014) ต่างตกรอบแรกในสมัยต่อมา ถือเป็นอาถรรพ์ที่ ฝรั่งเศส เจ้าของแชมป์เมื่อปี 2018 หวังจะลบล้างให้ได้ ถึงแม้ว่าขุมกำลังของทัพตราไก่ในปีนี้ จะแตกต่างจากเดิม แต่การขาดกำลังสำคัญอย่าง คาริม เบนเซม่า ดาวยิงที่เพิ่งคว้าบัลลงดอร์มาครอง ก็ทำให้กูรูหลายสำนักคิดว่าโอกาสป้องกันแชมป์ของฝรั่งเศสยากขึ้นกว่าเดิม

โดยทัพตราไก่ของ เดส์ชองส์ จะลงประเดิมสนามนัดแรกคู่ดึกคืนนี้ พบกับ ออสเตรเลีย ซึ่งการตัดสินใจไม่เรียกนักเตะมาแทน เบนเซม่า ทำให้สื่อวิเคราะห์กันว่า โอลิวิเยร์ ชิรูด์ จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ล่าตาข่ายร่วมกับ คิเลียน เอ็มบัปเป้ แล้วก็ อ็องตวน กรีซมันน์ ด้วยเหตุว่าดูจากการให้สัมภาษณ์ของ เดส์ชองส์ ที่ชมแล้วก็ปกป้อง ชิรูด์ ว่าเป็นกองหน้าที่มีประโยชน์กับทีม แม้จะทำประตูได้ไม่มากก็ตาม

ข่าวร้ายบางส่วนของฝรั่งเศส คือ เอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า มิดฟิลด์เรอัล มาดริด เจ็บกล้ามเนื้อจนพลาดลงซ้อมครั้งล่าสุดแล้วก็จะไม่มีชื่อในเกมนี้ แต่พวกเขาได้ ราฟาเอล วาราน สลัดอาการบาดเจ็บกลับมาพร้อมเป็นตัวจริง

คู่นี้ พึ่งจะพบกันมาแล้วในรอบแบ่งกลุ่มเมื่อ 4 ปีที่แล้วที่รัสเซีย ซึ่งฝรั่งเศส ชนะ 2-1 จากจุดโทษของ กรีซมันน์ ส่วน ออสเตรเลีย เคยชนะเพียง 1 ครั้งเท่านั้น เมื่อ 21 ปีก่อนในฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2001

ฝรั่งเศส หวังลบอาถรรพ์

“ชิรูด์” ยิงเบิ้ลทาบดาวซัลโวสูงสุด! ฝรั่งเศส ไว้ลาย แชมป์เก่า รัวยำ ออสเตรเลีย

“ตราไก่” ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวังหากแม้โดนนำไปก่อนแต่รวมพลังไล่ยำแซง “ออสเตรเลีย” 4-1 จากผลงานของ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ เหมาสองประตูขึ้นไปทาบดาวซัลโวสูงสุด ที่ 51 ประตูเท่า อองรี พาทีมเก็บ 3 คะแนนเปิดหัว ฟุตบอลโลก 2022 ยึดจ่าฝูง กลุ่ม ดี

ดีดิเย่ร์ เดส์ชองส์ เทรนเนอร์ของ ทีมชาติฝรั่งเศส แชมป์เก่าเมื่อปี 2018 พาทีมลงสนามล่าสุด พ่ายต่อ เดนมาร์ก 0-2 ในศึก เนชั่นส์ ลีก ส่วนผลงานในรายการนี้ ทีมตราไก่ เข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายได้หลังจากจบในฐานะแชมป์ของกลุ่ม ดี ในรอบคัดเลือกโซนยุโรป

ทางด้าน แกรม อาร์โนลด์ เทรนเนอร์ของทีมชาติออสเตรเลีย พาทีมลงสนามล่าสุดเอาชนะ นิว ซีแลนด์ 2-0 ในเกมอุ่นเครื่อง ส่วนผลงานในรายการนี้ ทัพจิงโจ้ เข้ามาเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายหลังจาก ดวลจุดโทษเอาชนะ ประเทศเปรู 5-4 ในรอบเพลย์ออฟระหว่างโซนเอเชียกับโซนอเมริกาใต้ (ในเวลาเท่ากัน 0-0)

เปิดฉากครึ่งแรก 9 นาทีกลายเป็น ออสเตรเลีย ทะยานออกนำ 1-0 จากบอลยาวทิ้งออกขวาให้ แม็ทธิว เล็คกี้ ล็อคหนี ลูกัส แอร์กน็องเดซ ได้ช่องปาดเข้ากรอบ 6 หลาโค้งมาเสาไกลถึง เคร็ก กู๊ดวิน ชาร์จด้วยซ้ายสวนตัว อูโก้ โยริส เสยเพดานตาข่าย

นาทีที่ 22 “ตราไก่” เกือบจะงานเข้าเสียบอลง่ายๆหน้ากรอบเขตโทษให้ มิทเชลล์ ดุ๊ค เก็บส้มหล่นก้มหน้า ตะบันด้วยขวาติดไซค์ก้อยพุ่งผ่านมือ อูโก้ โยริส หลุดเสาแรกนิดหนึ่ง

แต่แล้วนาทีที่ 27 “แชมป์เก่า” ตามตีเสมอ 1-1 จนได้จากความผิดพลาดของ ออสเตรเลีย สกัดบอลไม่ขาด เตโอ เอร์นานเดซ เก็บตกหน้าเขตโทษฝั่งซ้ายหยอดโค้งมาหน้ากรอบ 6 หลาถึง อาเดรียง ราบิโอต์ สอดมาโขกทางเสาไกลตุงตาข่าย

30 นาทีผ่านฝรั่งเศสได้ใจเร่งเครื่อง อองตวน กรีซมันน์ เก็บบอลทางซ้ายตัดเข้าในหยอดด้วยขวาโค้งมาหน้ากรอบ 6 หลาเข้าหัว โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ถอยมาโขกข้ามคาน

2 นาทีต่อมา “ตราไก่” รัวแซงเป็น 2-1 จากความผิดพลาดของ เนธาเนียล แอ็ตกินสัน เสียบอลทางฝั่งซ้ายสุดท้ายเป็น อาเดรียง ราบิโอต์ สอดขึ้นมาพาเข้าเขตโทษเลือกถวายพานเข้าในให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ เก็บงานไม่พลาด

ก่อนหมดครึ่งแรก 10 นาที “แชมป์เก่า” โหมชุดใหญ่ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ถอยมาเชื่อมบอลหน้าเขตโทษฝั่งขวาดึงตอกส้นตั้งให้ อองตวน กรีซมันน์ หักข้อด้วยซ้ายบดหลุดเสาแรก

นาทีที่ 45 ฝรั่งเศสเฉียดทิ้งห่าง อองตวน กรีซมันน์ หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าเขตโทษฝั่งขวาดีดไซค์ก้อยมาหน้ากรอบ 6 หลาไหลโถมมาชาร์จแบบไม่มีตัวประกบเหินข้ามคานไม่น่าเชื่อ

ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 45+1 ออสเตรเลีย เฉียดตามตีเสมอ เคร็ก กู๊ดวิน พาบอลหนีขึ้นมาทางซ้ายได้ช่องยกเข้าเขตโทษมาตกใส่หัว แจ็คสัน เออร์ไวน์ โขกย้อนทาง อูโก้ โยริส ชนเสาเด้งออกมา

หวังลบอาถรรพ์ ทีมแชมป์โลก

หมดครึ่งเวลาแรกฝรั่งเศส 2 ออสเตรเลีย 1

นาทีที่ 50 “ตราไก่” ออกหมัดก่อน เตโอ เอร์นานเดซ เติมเกมรุกทางซ้ายครอสบอลเข้าเขตโทษข้ามมาเสาสองให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ทิ้งตัวจักรยานอากาศหน้ากรอบ 6 หลากระดอนพื้นหลุดออกไปนิดหนึ่ง

60 นาทีผ่านจากจังหวะประสานงานสุดสวย โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ไขว้เร็วชิ่งคืนให้ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ โชว์ความเร็วสอดเข้าเขตโทษเกือบจะได้ล่อเป้าติดแนวรับ ออสเตรเลีย ทิ่มแทงออกหลังช่วยไว้ได้ทัน

7 นาทีต่อมา จากจังหวะทำเกมทางซ้ายบอลไหลเข้าในถึง อองตวน กรีซมันน์ ตั้งเท้าชาร์จตามน้ำพุ่งหาปากประตูติดตัวคุมเส้นนอนขวางหวดทิ้งออกมา

จากจังหวะสม่ำเสมอ ฝรั่งเศส ขยับทิ้งห่าง 3-1 จนได้ อุสมาน เดมเบเล่ ตามมาเก็บตกทางขวาดึงจังหวะได้ช่องหยอดเข้าเขตโทษคืนให้ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ เสยเปลี่ยนทางถูเสาสองเด้งซุกก้นตาข่าย

ต่อมานาทีที่ 72 “ตราไก่” รัวยำเป็น 4-1 คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ขยับมาเล่นทางริมเส้นฝั่งซ้ายใช้ความเร็วกระชากขึ้นมาหยอดโค้งมาหน้ากรอบ 6 หลาเข้าหัว โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ขวิดประตูที่สองของตนเองในเกมนี้

ช่วงท้ายเกม นายด่าน ออสเตรเลีย เจองานหนักสม่ำเสมอ อิบราฮิมา โกนาเต้ โขกล่อเป้าเต็มหัวกระดอนพื้นติดปลายมือ แม็ทธิว ไรอัน ลอยมาตะปปทิ้งอย่างไม่เชื่อได้

หลังจากนั้นไม่มีสกอร์เพิ่ม จบเกม ฝรั่งเศส 4 ออสเตรเลีย 1

รายนามผู้เล่นที่ลงสนาม

ฝรั่งเศส (4-1-2-3) :
อูโก้ โยริส – แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ (ฌูลส์ กุนเด้ น.89), ดาโยต์ อูปาเมกาโน่, อิบราฮิมา โกนาเต้, ลูกัส แอร์กน็องเดซ (เตโอ เอร์นานเดซ น.13) – โอเรแกงเลียง ชูอาเมนี่ (ยุสซุฟ โฟฟาน่า น.77) – อาเดรียง ราบิโอต์, อองตวน กรีซมันน์ – อุสมาน เดมเบเล่ (คิงสเล่ย์ โกมัน น.77), โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ (มาร์คุส ตูราม น.89), คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้

ออสเตรเลีย (4-1-2-3)
แม็ทธิว ไรอัน – เนธาเนียล แอ็ตกินสัน (มิลอส เดเกเน็ค น.85), แฮร์รี ซูตทาร์, ไคล์ โรวล์ส, อาซิซ เบฮิช – อารอน มอย – ไรลี่ย์ แม็คกรี (เอเวอร์ มาบิล น.73), แจ็คสัน เออร์ไวน์ (คีอานู แบกคุส น.85) – แม็ทธิว เล็คกี้, มิทเชลล์ ดุ๊ค (เจสัน คัมมิงส์ น.56), เคร็ก กู๊ดวิน (กาแรง คูล น.73)